เมื่อแม่ไม่ยอมรักษาต่อ เราจะทำใจยังไงให้ยอมรับคะ?

คุณแม่เราป่วยติดเตียงมา 6 ปีแล้วค่ะ
ทีแรกเราดูแลค่อนข้างเข้มงวดมาก ทั้งอาหาร กายภาพบำบัด และยา
หมดค่าใช้จ่ายรายเดือนไม่ต่ำกว่า 5-6 หมื่น เรารับผิดชอบทั้งหมด
แต่แม่ไม่ให้ความร่วมมือค่ะ แม่บอกสิ่งที่เราทำมันสิ้นเปลือง เพราะยังไงแม่ก็ไม่ดีขึ้น
ช่วงนั้นเราทะเลาะกับแม่บ่อยมากค่ะ

จนเราตามใจ ไม่ตึงกับแม่มาก อยากให้แม่มีความสุขกับชีวิตให้มากที่สุด
อยากทานอะไรก็ทาน อยากทำอะไรก็ทำ อยากไปเที่ยวไหนเราก็พาไป
จนช่วง2-3เดือนที่ผ่านมา โควิดระบาดหนักมาก แม่ไม่ได้ไปไหนเลย หาหมอก็ไม่ได้ไปค่ะ หมอให้ไปรับยาแทน
(ปกติเราจะพาแม่ไปวัด ไปทานข้าวนอกบ้านบ่อยๆค่ะ)
แม่เริ่มไม่ยอมกินยา ไม่ยอมให้ฉีดยา เริ่มทานน้อยลง
พอถามก็บอกว่าเบื่อ ไม่อยากอยู่ เพราะอยู่ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
ส่วนตัวเราแม่มองว่า แม่ไม่อยู่จะดีกว่า เพราะเราก็ไม่ต้องมาเสียเงินเดือนละหลายหมื่นบาทเพื่อดูแลแม่

เราเข้าใจแม่นะคะ แต่ทำใจยอมรับไม่ได้จริงๆ ทุกครั้งที่จัดยาให้แม่ 
จะเห็นว่าแม่ไม่ยอมทานยาเลยค่ะ ในถังขยะข้างเตียงแม่ก็จะมีร่องรอยการเอายาทิ้งตลอด
เราไม่รู้จะทำใจยังไงค่ะ เราอยู่กับแม่แค่สองคน พ่อเราเสียตั้งแต่ 7 ขวบค่ะ
มีใครแนะนำเราได้บ้างคะ 
ขอบคุณมากค่ะ

ปล เรายังโฟกัสกับงานได้ปกติค่ะ แต่เวลาว่างๆ ไม่มีงานเข้ามา เราก็อดกลับไปคิดเรื่องแม่ไม่ได้เลยค่ะ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
เราเข้าใจทั้งความรู้สึกฝั่งของคุณแม่คุณ อีกทางนึงก็เข้าใจความรู้สึกของคุณด้วยครับ
จากที่ฟังคุณก็เข้าใจความต้องการและเข้าใจสิ่งที่ท่านตัดสินใจทำพอสมควรนะครับ

เรามองว่าประเด็นก็คือการทำใจยอมรับการตัดสินใจของท่านให้ได้นั้นไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ครับ
เพราะท่านเป็นมนุษย์ก็แปลว่าท่านมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจทุกอย่างเกี่ยวกับชีวิตท่านเอง
ถ้าท่านมีความสุขและอยากอยู่ เราก็ดูแลท่านอย่างเต็มที่แบบที่ทำอยู่ดีแล้วครับ
ในทางกลับกันถ้าท่านไม่มีความสุขที่จะอยู่ เราก็คิดว่าไม่เหมาะที่จะให้ท่าน
ต้องทนอยู่แบบไม่มีความสุข

คุณไม่สามารถตัดสินใจแทนท่านได้
แค่ทำในสิ่งที่คุณอยากดูแลท่าน ทำให้ดีที่สุดเท่านั้นก็พอ
ซึ่งจากที่อ่านคุณก็ทำมันได้ดีมากๆ ตั้งใจทำต่อไปนะครับ
เป็นกำลังใจให้ครับ ขอให้ผ่านทุกเรื่องไปได้อย่างมีสติแบบนี้เสมอนะครับ ยิ้ม
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
ฝ่ายเป็นญาติก็ไม่อยากให้คนในครอบครัวจากไป พยายามอย่างยิ่งที่จะยื้อชีวิตของผู้ป่วยให้นานที่สุด ไม่คิดจะเสียดายเงินทอง
ฝ่ายผู้ป่วย ผมว่าค่ารักษาไม่ใช่คำตอบ แต่คือการต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับเจ็บปวดของร่างกาย

น้องสาวผมเพิ่งเสียชีวิตเมื่อปลายปีที่แล้ว 7 ธันวาคม 2563 ด้วยโรคมะเร็งขั้นสุดท้ายในวัยเพียง 46 ปี

ตอนที่เริ่มรู้ตัวเมื่อป่วยคือประมาณต้นปี 2562 รู้กันแต่ครอบครัวของพี่สาวคนโต เพราะน้องสาวผมไปอาศัยอยู่ด้วยตั้งแต่เล็ก เรื่องเป็นมะเร็งคนในครอบครัวจริงๆ ยกเว้นพี่สาวคนโต นอกนั้นไม่มีใครทราบ เพราะน้องสาวไม่ต้องการให้บอกกลัวคนทางบ้านเป็นห่วงโดยเฉพาะแม่ กลางปี 2562 อาการเริ่มทรุด น้องสาวปกติจะมาเยี่ยมแม่ทุกเดือน ก็เริ่มหยุด และมีการแกล้งบอกว่าป่วยเป็นวัณโรคต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อย จึงมาเยี่ยมไม่ได้ ปลายปี 2563 เริ่มมีการบอกเป็นนัย ให้แม่ไปเยี่ยมหน่อย เริ่มเดินไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็น แต่ไม่ได้พูดอะไรมาก

ประมาณกลางปี 2563 เรียกแม่ให้ไปเยี่ยมอีกครั้ง คราวนี้มีการร้องไห้ ขออโหสิกรรม แต่ยังไม่ได้บอกว่าเป็นโรคอะไร พอมาต้นเดือนธันวาคม วันที่ 2 ธันวาคม 2563 พี่สาวโทรมาบอกว่า ให้คนที่บ้านเตรียมใจ น้องสาวถึงวาระสุดท้าย หมอบอกให้ทำใจ ตอนนี้ถึงค่อยมีการบอกว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย คนที่บ้านจึงไปเยี่ยมตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม พี่สาวบอกว่าน้องสาวบอกถ้าเกิดภาวะวิกฤตไม่ต้องให้หมอยื้อชีวิต ไม่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ ปล่อยให้จากไปเอง ผมกับแม่ยังอยากมีความหวัง เพราะเพิ่งทราบเรื่องการเป็นมะเร็ง ก็คิดว่าจะมีปาฏิหารย์

แต่ตลอดคืนวันที่ 3-4-5-6 เข้าสู่ช่วงเช้าวันที่ 7 ธันวาคม ที่ผมนอนเฝ้าเป็นเพื่อนน้องสาวที่โรงพยาบาล มันเป็นการนับถอยหลังของน้องสาวซึ่งผมไม่รู้ว่าจะจากไปในวันไหน แต่ตลอด 4 คืนที่ผ่านมาถือเป็นประสบการณ์ที่ผมได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดของน้องสาวที่ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสสักเพียงใด วันที่ 2 ธันวาคม ที่ผมไปเยี่ยม น้องสาวยังทานข้าวได้บ้าง พูดคุยกับคนที่บ้านยังพอไหว พอวันที่ 3 น้องสาวเริ่มมีอาการทานข้าวลำบาก (เริ่มรับประทานไม่ไหว) และตอนนอนมีอาการเจ็บปวด สะดุ้งตื่น

เช้าวันที่ 4 ธันวา ผมคุยกับพี่สาวและพยาบาลขอให้มีการใช้มอร์ฟีนเพื่อบรรเทาการเจ็บปวด ตอนแรกน้องสาวบอกไม่เอา แต่ผมบอกว่าเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด น้องสาวจึงยอมให้มีการใช้มอร์ฟิน แต่วันนี้ช่วงเย็นที่ผมมาเยี่ยมและนอนน้องสาวเริ่มไม่รับประทานอาหารแล้ว ต้องให้อาหารเหลวทางสายยาง ตกกลางคืนน้องสาวเริ่มนอนสบายขึ้น ไม่เจ็บปวดจากการทรมาน เพราะมีการให้มอร์ฟินผ่านสายยางตลอด 24 ชั่วโมง

เข้าสู่วันที่ 5 ธันวา น้องสาวผมเริ่มไม่สามารถพูดได้ ส่วนใหญ่จะนอนนิ่งและค่ำคืนวันที่ 5 มอร์ฟินเริ่มเอาไม่อยู่ ประมาณตี 3 (วันที่ 6) น้องสาวผมมีอาการเจ็บปวด นอนปิดตาลืมตา ตาหลับตาเหลือก เหมือนคนใกล้เสียชีวิต และหนักสุดคือมีการผวาเด้งตัวขึ้นมาเอง แบบที่เจ้าตัวมีความรู้สึกหวาดผวาตกใจแบบสุดขีด ทั้งๆ ที่ปกติจะขยับไม่ได้ เพราะจะปวดทั้งขา เอว และหลังไปหมด ต้องเรียกพยาบาลเข้ามาช่วยกันดูแลสอบถามอาการ

ตลอดวันที่ 6 ธันวา น้องสาวผมส่วนใหญ่จะหนักนอนเสียส่วนใหญ่ หายใจแบบพะงาบพะงาบ ตาหลับตาเหลือก แล้วก็เข้าสู่คืนวันที่ 6 ธันวา (ประมาณตี 2 วันที่ 7 ธันวา) เที่ยวนี้อาการเจ็บปวดจะหนักกว่าทุกวัน และมีอาการผวาเด้งตัวขึ้นแบบที่เจ้าตัวรู้สึกหวาดผวาตกใจแบบสุดขีดอีกครั้ง มีการใช้เครื่องพ่นยาเพื่อละลายเสมหะเพื่อช่วยให้หายใจได้คล่องขึ้น แต่เจ้าตัวมีอาการปัดไม่ค่อยยอมให้ใช้

เช้าวันที่ 7 ธันวาคม ผมขอตัวกลับมาบ้านอาบน้ำก่อน กลับมาได้สักครู่ พี่สาวโทรมาบอกหมอบอกให้ครอบครัวไปสั่งเสีย (หมอตรวจตอนเช้าบอกไม่เกินวันนี้)

ผมและครอบครัวไปกันพร้อมหน้า พี่น้องที่อยู่ต่างประเทศ หรือหลานๆ ที่ยังอยู่ที่โรงเรียนยังมาไม่ได้กระทันหัน ต้องวีดิโอคอลกันสั่งเสียกันครั้งสุดท้ายก่อนที่น้องสาวจะจากลากันแบบเรียลไทม์ ทางร่างกายน้องสาวคือกำลังจะจากไป ไม่ใส่เครื่องช่วยหายใจแล้ว น้องสาวผมนอนหายใจรวยรินเบาลงเรื่อยๆ อ้าปากค้างพะงาบพะงาบ ตาหลับตาเหลือก ทุกคนที่อยู่ในห้อง พี่สาว และเพื่อนสนิทน้องสาวได้แต่ร้องไห้ ผมเป็นคนที่เข้าไปโอบคอน้องสาวทั้งพูดทั้งปลอบใจเพื่อให้น้องสาวไม่มีความวิตกกังวลใดๆ และนำพระสมเด็จที่ผมเคยใส่ห้อยคอประจำกุมใส่มือน้องสาว เมื่อลมหายใจใกล้สงบ ผมเปลี่ยนเอามือที่กุมมือน้องสาวที่มีพระถืออยู่มาเป็นเอามือมาลูบตาน้องสาว แล้วบอกกับน้องสาวหลับให้สบาย ไปหาป๊าที่สวรรค์ ไม่ต้องห่วงอะไรคนที่บ้าน ไม่ต้องคิดอะไรมาก มีพระช่วยคุ้มครอง ซ้ำไปซ้ำมา จนสามารถปิดตาน้องสาวให้หลับตาลงได้ในวาระสุดท้ายกับลมหายใจสุดท้าย

ตลอดหลายคืนที่นอนเป็นเพื่อนน้องสาว ผมรู้สึกเจ็บปวดแทนครับ อยากจะเจ็บปวดแทน ใจหนึ่งก็อยากให้รักษา แต่ใจหนึ่งก็ไม่อยากให้น้องสาวต้องนอนทนทุกข์ทรมาน ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ผมคิดว่าปล่อยน้องสาวให้ไปสบาย ดีกว่าการยื้อชีวิตและให้คนป่วยต้องมาทนอยู่กับการเจ็บป่วยทรมานครับ

แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของชีวิตของคนที่มีค่า ในกรณีแม่ของจขกท.ไม่ควรเร่งด่วนในการตัดสินใจ ถ้าแม่ของจขกท.ไม่ได้มีอาการเจ็บปวดแบบทนทุกข์ทรมานทางกาย เป็นที่จิตใจเพราะต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย ก็อยากให้จขกท.หาคำพูดดีๆ อาทิ แม้แม่จะไม่มีทางดีเหมือนเดิม แต่แม่คือเสาหลักเป็นที่พึ่งทางใจของคนในครอบครัว ขาดแม่ก็เหมือนขาดใจ ขอให้แม่อยู่เป็นเสาหลักเป็นที่พึ่งทางใจของลูกๆ ให้นานเท่านานครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่